นิยายเรื่อง สืบสวนหมายเลข 12 เป็นนิยายที่ผู้แต่งสร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทั้งชื่อสถานที่ เหตุการณ์ และตัวละคร ไม่มีอยู่จริง เป็นการสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่สามารถอ้างอิงด้วยหลักฐานทางวิชาการใด ๆ ในทุกแขนง จึงชี้แจงมาเพื่อทราบ
ผู้เขียนขอขอบคุณ นานาความรู้และบทความต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ต และเพื่อน ๆ ในเว็บ forwriter.com ที่เป็นแหล่งข้อมูลทางปัญญาและแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่องนี้
*นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ห้ามมิให้ผู้ใดลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือทำซ้ำ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษตามกฏหมาย*
บทที่ 1
ในความมืดทะมึนของค่ำคืนเดือนแรม มีเพียงเสียงคลื่นที่สาดซัดกระทบโขดหินด้านล่างดังแว่วๆ มาเท่านั้น ที่พอจะบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ติดริมทะเล มันเป็นอาคารชั้นเดียวสไตล์โมร็อกโค ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผาเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไปหลายสิบเมตร ตัวอาคารทาสีขาวทอดตัวเป็นรูปตัวยูโอบล้อมสระว่ายน้ำสีฟ้าสดขนาดใหญ่
ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ทั่วบริเวณอาคารจึงดับไฟมืด มีเพียงดวงไฟใต้สระว่ายน้ำเท่านั้นที่ส่องสว่างให้บริเวณโดยรอบ แสงของมันขับกระเบื้องสีฟ้าเทอร์ควอยซ์สะท้อนพรายน้ำเต้นเร่า เป็นประกายทาบทับบนผนังทางเดินรอบสระ ซึ่งเป็นทางเดินมีหลังคาและเจาะผนังเป็นช่องประตูโค้งขนาดใหญ่ต่อเนื่องกันยาวตลอดตัวตึก
บริเวณทางเดินดับไฟมืด เห็นเพียงเงาตะคุ่มของเส้นโครงเก้าอี้เหล็กดัดลายเถาองุ่นที่ตั้งอยู่ริมสระ และเงาของใครคนหนึ่งที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง เดินหายไปทางปีกซ้ายของตัวอาคาร
ใกล้ๆ กันนั้นเอง ภายในห้องนอนขนาดกลางห้องหนึ่ง มณีนุชวางหนังสือนิยายเล่มหนาในมือลงบนเตียง ตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกจากเตียงเดินออกไปจากห้องของนางซึ่งอยู่ปีกซ้ายของอาคาร นางคิดว่าโกโก้ร้อนสักถ้วยคงจะทำให้หลับสบาย ดีกว่าปล่อยให้ท้องไส้ส่งเสียงประท้วงกันระงมขนาดนี้
มณีนุชเป็นหญิงร่างท้วมวัยห้าสิบกว่า เนื้อตัวอุดมไปด้วยไขมันและผิวหนังที่หย่อนคล้อย เวลาเดินร่างของนางจึงกระเพื่อมไปตามจังหวะเดิน นางย้อมผมสีดำ ดัดหยิกและซอยสั้น ผมเส้นเล็กไร้น้ำหนักพองฟูเป็นฝอยที่ยีตีโป่งเอาไว้ ตอนนี้แฟบแบนติดหนังหัวตรงที่นอนทับ นางเดินไปตามทางเดินที่มีแสงสว่างจากสระว่ายน้ำส่องทาง ทันใดนั้นหางตาของนางก็รับรู้ว่ามีเงาของคนเคลื่อนผ่านไปบนผนังตึกอย่างรวดเร็ว
เอ๊ะ!...
มณีนุชยกมือขึ้นทาบอก รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว แขนขาพากันอ่อนแรงแทบจะยกไม่ขึ้น เมื่อใจคิดว่าอาจจะเป็นขโมยขึ้นบ้าน แต่ความอยากรู้ช่างมีอานุภาพมากมาย เมื่อตั้งสติได้พอมีเรี่ยวแรงแล้ว นางก็เพ่งสายตามองจดๆ จ้องๆ แล้วเดินย่องไปตามทางเดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นเพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปเองหรือเปล่า นางจึงยังไม่กล้าร้องเอะอะขึ้นมา เมื่อมาสุดทางเดินนางก็รวบรวมความกล้าค่อยๆ ชะโงกออกไปมองตรงที่เป็นมุมกำแพง ใกล้ลั่นทมต้นใหญ่ที่คิดว่าเห็นเงาใครคนนั้นหายเข้าไป
เฮ่ออออ..
หญิงร่างท้วมถอนใจเฮือกใหญ่ยกมืออวบอูมขึ้นตบอกเบา ๆ เป็นการเรียกขวัญตัวเอง เพราะปรากฎว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นเลยสักคน มณีนุชค่อยใจชื้นเมื่อคิดว่าคงตาฝาดไปเอง
บริเวณลานตรงนั้นสว่างขึ้นกว่าด้านนอกเล็กน้อย เพราะมีแสงจากโคมกระจกสีดวงเล็กๆ ซึ่งแขวนอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง ตอนที่มณีนุชเดินเข้าไปใกล้เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นจริง ๆ นางก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ ลอดออกมาจากในห้อง
เอ๊ะ... เสียงผู้ชายนี่ ! มณีนุชเผลอกระซิบกับตัวเอง แล้วก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจเมื่อความคิดแรกวิ่งเข้ามาในหัว ฮึ... มันคบชู้หรือเปล่าวะ ใครกัน..มาหาดึก ๆ ดื่น ๆ มณีนุชย่นหัวคิ้ว หรือจะผัวเก่า? อ๊าย! เรื่องนี้ต้องเอาให้ชัดกันไปเลย หนอยๆๆ
ด้วยความอยากรู้สุดจะทน มณีนุชจึงขยับกายเข้าไปใกล้บานประตูห้อง ค่อยๆ แนบใบหูเข้ากับบานไม้ เสียงที่ได้ยินจากในห้องเบาจนไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชาย หรืออาจเป็นเพียงเสียงจากโทรทัศน์เท่านั้นก็เป็นได้
ฮื้อ... ไม่ค่อยได้ยินเลย
หญิงร่างท้วมขมวดคิ้วด้วยความขัดใจที่บานประตูห้องหนาเกินไป นางพยายามขยับเข้าไปชิดบานประตูอีกแล้วแนบหูให้สนิทกับเนื้อไม้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ได้ยินเพียงคลื่นเสียงต่ำๆ ที่ขาดๆ หายๆ จนสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้แก่ความอยากรู้อยากเห็นของตนอีกจนได้
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
ก๊อก..ก็อก..ก็อก..ก็อก..ก็อก
มณีนุชตัดสินใจเคาะบานประตูรัวอย่างไม่เกรงใจ แล้วแนบหูฟังเสียงภายในห้องอีกครั้ง
เงียบกริบ..!!
ปัง..ปัง..ปัง..ปัง..ปัง..
รัตนา... รัตนาเปิดประตูซิ
คราวนี้มณีนุชรัวกำปั้นพร้อมกับเรียกชื่อเจ้าของห้องเสียงดังก่อนประตูจะเปิดผลัวะออกมา
คนที่เปิดประตูออกมาเป็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบห้าปี รูปร่างผอมบาง เส้นผมสีขาวเริ่มขึ้นแซมประปรายที่ข้างขมับ และผิวที่ขาวจัดทำให้ดูขี้โรคอ่อนแอ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเค้าว่าตอนสาวๆ นางเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง เพราะดวงตายาวรีคู่นั้นยังมีประกายที่สวยหวานแม้จะดูเศร้า
ทว่าในเวลานี้ น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายมณีนุช มีกังวานแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจ
มีอะไร... มณีนุช ?
ใครอยู่ในห้องน่ะ? มณีนุชถามขึ้นทันที
ใคร...? รัตนาถามกลับน้ำเสียงห้วน
ฉันเห็นคนมาด้อมๆ มองๆ แถวนี้ แถมยังได้ยินเสียงผู้ชายในห้องของเธอด้วย มณีนุชชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องทั้งที่ร่างของรัตนาก็ยังยืนขวางประตูอยู่ตรงนั้น หญิงร่างท้วมทำเหมือนกับว่ารัตนาเป็นอากาศธาตุที่ไม่เห็นต้องใส่ใจ
บ้าหรือเปล่า! ผู้ชายที่ไหนกัน ดวงตายาวรีของรัตนาวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธที่พุ่งพรวด นางตะคอกกลับออกไปด้วยเสียงดัง และยังปักหลักยืนขวางประตูไม่ขยับ
ไหน หลีกซิ ให้ฉันเข้าไปดู มณีนุชทำท่าจะฝ่าเข้าไป
นี่... มันจะมากเกินไปแล้วนะ มณีนุช จะพูดจะจาอะไรก็ให้เกรงใจกันบ้าง หัวขาวกันแล้วทั้งนั้น กลับห้องของเธอไปซะ
รัตนาไม่เพียงแต่ขึ้นเสียงดังแข็งกร้าวเท่านั้น ยังผลักไหล่มณีนุชออกไปอย่างแรงด้วยความโกรธ จนร่างท้วมซวนเซ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นปีหรือเป็นสิบปีรัตนาก็ไม่เคยอดทนกับนิสัยสอดรู้สอดเห็นของมณีนุชได้เลยสักครั้ง รัตนางับบานประตูปิดทันที
แต่ช้ากว่ามณีนุชที่โถมตัวเข้าขวางบานประตูไว้ แล้วเบียดถลันตัวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
อ่ะฮ้า... ดูเหมือนแถว ๆ นี้จะมีกลิ่นคาวเหม็นเน่า น่าสงสัย
ปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงของรัตนายิ่งกระพือพัดความอยากรู้จนสุดจะทน มณีนุชกวาดสายตาดูทั่วห้องอย่างรวดเร็ว เหมือนคาดหวังว่าจะพบผู้ชายลึกลับยืนอยู่ตรงนั้น
แต่เท่าที่เห็นก็คือห้องพักขนาดพอๆ กับห้องของนาง แม้จะเป็นสไตล์โมร็อกโคเหมือนกัน แต่ห้องนี้ตกแต่งค่อนข้างเรียบด้วยสีโทนอ่อนสบายตา ดูเก๋ด้วยโคมกระจกสีสองดวง ส่องสว่างอยู่ที่หัวเตียงหนึ่งดวง และข้างโซฟาบุด้วยผ้าทอมืออีกหนึ่งดวง เพดานสูงติดพัดลมหมุนเอื่อยๆ โทรทัศน์แขวนติดผนังกำลังฉายภาพยนตร์รอบดึกที่ตัวแสดงกำลังสนทนาโต้ตอบกัน ถัดเข้าไปเป็นช่องทางเดินไปสู่ห้องแต่งตัวด้านในและที่สุดทางเดินคือห้องน้ำ ทางเข้าไปสู่ห้องด้านในนั้นกั้นด้วยช่องประตูโค้งขนาดเล็กที่ใช้ม่านสายร้อยลูกปัดสีแทนบานประตู มณีนุชกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมห้อง แต่ทั้งห้องว่างเปล่า ไม่มีแม้เงาของชายลึกลับ
ทำไมมารยาททรามอย่างนี้ มณีนุช หล่อนออกไปจากห้องของฉัน เดี๋ยวนี้
รัตนาพูดด้วยเสียงคำรามรอดไรฟัน ใบหน้าของนางซีดเผือด สองมือทิ้งข้างลำตัวกำแน่นด้วยความโมโห หัวใจเต้นแรงจนหน้าอกสะท้อนขึ้นลง รัตนาพยายามเตือนตนเองให้ระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านเพราะมันไม่ดีกับหัวใจของตัวเองเอามากๆ
เดี๋ยวสิยะ ทำไม... ร้อนตัวเหรอ ถ้าไม่มีอะไรทำไมต้องรีบไล่ฉันกลับออกไปด้วยล่ะ มณีนุชยกมือขึ้นเท้าสะเอว จ้องหน้ารัตนาอย่างตั้งใจจะยั่วโมโห แล้วปรายตาสอดส่ายไปทั่วทุกมุมห้อง เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต นางก็เริ่มเสียงอ่อนพูดอ้อมแอ้ม
เอ... หรือว่าเสียงทีวี ? มณีนุชหน้าเจื่อน ยกมือขึ้นเกาจมูกทั้งที่ไม่คัน แต่ฉันได้ยินจริงๆ นะ
นางยังคงแถไถต่อตามนิสัยชอบเอาชนะ ขณะชะโงกเข้าไปมองบริเวณด้านหลังม่านลูกปัด แล้วนางก็เบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าบานประตูห้องน้ำปิดสนิท นางชี้นิ้วสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น
ใครอยู่ในห้องน้ำ? น้ำเสียงมณีนุชทั้งห้วนทั้งดัง สายตาที่มองมานั้นหมายมาดคาดคั้นอย่างมีชัย บอกมานะว่าหล่อนซ่อนใครไว้ในห้องน้ำ ถ้าไม่บอกเรื่องถึงเสี่ยแน่ คราวนี้ฉันจับได้คาหนังคาเขาเลย กะแล้วว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล...
พอทีเถอะ รัตนาก้าวเข้าไปประชิดร่างมณีนุช แล้วตะโกนใส่หน้าด้วยเสียงดัง หยุดพูดจาเพ้อเจ้อเป็นผีเจาะปากให้พูดเสียที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน หล่อนคิดว่าเสี่ยเขาจะทำยังไงกับหล่อนกันล่ะ ถ้าเขารู้ว่าหล่อนตอแหลหาเรื่องฉันไม่หยุดหย่อนน่ะ แน่จริงจะลองไหม
ฝ่ายหลังคงตกใจเมื่อเห็นแววตากร้าวของรัตนาว่าเอาจริง จึงยอมหุบปากลง
รัตนาเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง พลางหลับตาลงเพื่อพยายามสงบใจอย่างที่สุด ก่อนตอบไปด้วยเสียงเย็น ๆ ว่า
ชาลีอยู่ในห้องน้ำ... จะต้องเปิดให้ดูลูกสาวฉันทำธุระไหม?
รัตนาจ้องตามณีนุชนิ่งอยู่อย่างนั้น ประกายตานั้นแข็งกร้าวเอาจริง จนฝ่ายหลังเริ่มลังเล
ฮึ..ไม่ต้องประชดหรอกย่ะ
มณีนุชกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียหน้าด้วยการทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ บางทีนางอาจจะหูฝาดไปเองก็เป็นได้ เมื่อกี้ก็ฟังไม่ค่อยถนัดนัก นางเลยไม่ค่อยมั่นใจ
ในเมื่อไม่มีอะไร ก็แล้วกันไปเถอะย่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายสักหน่อยนี่
ไสหัวออกไป รัตนาเสียงเย็น ยกมือชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง
มณีนุชยักไหล่แบบไม่ยี่หระ แต่ก็ไม่รอช้า รีบเดินผลุนผลันออกไปจากห้องของรัตนาทันที เป็นเพราะความไม่มั่นใจ นางจึงไม่อยากจะเสี่ยงกับรัตนาเหมือนกัน เพราะรู้ดีว่าถ้าเกิดนางเป็นฝ่ายเข้าใจผิดไปจริงๆ รัตนาคงจะไม่ยอมไว้หน้าและเอาคืนด้วยการไปฟ้องเสี่ยรวี ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสี่ยรวีคงเล่นงานนางหนักแน่ที่ไปกล่าวหาว่ารัตนาคบชู้
หญิงร่างท้วมหันไปมองค้อนตาขวาง เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องรัตนาปิดดังปังไล่หลังมาติดๆ มณีนุชเปิดประตูห้องครัวที่อยู่ติดกับห้องของรัตนา แล้วกระแทกปิดดังปังเสียงสนั่นไม่แพ้กัน
มณีนุชเกลียดสองคนแม่ลูกนี่เข้ากระดูกดำ รัตนาและลูกติดที่ชื่อชลีรัตน์เป็นหนามยอกอกของนางมาตลอด เพราะสองแม่ลูกนี่ล่ะ ที่ทำให้ความฝันความหวังของนางต้องสลายลงอย่างไม่เป็นท่า
ตั้งแต่มณียาพี่สาวของนางเสียชีวิต และเสี่ยรวีสามีของมณียาให้นางมาเป็นแม่นมให้รวิสุตลูกชายคนเดียวของเขา นางก็คิดวาดฝันมาตั้งแต่นั้น ว่าสักวันนางจะขยับจากแม่นมไปเป็นแม่เลี้ยงของรวิสุต
แน่ล่ะ... ใครจะไม่คิด ในเมื่อเสี่ยรวีเป็นผู้ชายที่แม้จะอายุล่วงเข้าหกสิบสามแล้ว แต่ผิวสีแทนและร่างสูงโปร่งที่ดูกระฉับกระเฉงนั้นยังสมส่วนเพราะดูแลตัวเองอย่างดี แววตากรุ้มกริ่มส่อนิสัยเจ้าชู้ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เป็นสิ่งที่ทำให้สาวแก่แม่หม้ายทั้งหลายใจสั่น อีกทั้งเขายังเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ที่เกษียณตัวเอง แล้วใช้ชีวิตพักผ่อนท่องเที่ยวตีกอล์ฟอย่างที่บรรดาเศรษฐีมีเงินเหลือเขาทำกัน
มณีนุชเองถึงขนาดยอมมีความสัมพันธ์กับเสี่ยรวีอย่างเต็มอกเต็มใจ และคิดว่าเสี่ยรวีจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์แม่ม่ายผัวตาย มีลูกชายติดมาด้วยอีกหนึ่งอย่างนาง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยก็พารัตนาและชลีรัตน์ลูกติดของนางเข้าบ้านในฐานะเมียคนที่สอง ถึงแม้ไม่มีการตกแต่งออกหน้าออกตา แต่ก็จดทะเบียนสมรสกันอย่างเงียบๆ ในเวลาต่อมา มณีนุชแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดเมื่อรู้ว่า รัตนาเป็นมือที่สามที่ช่วงชิงตำแหน่งที่นางรอคอยมาแสนนานไปอย่างน่าแค้นใจเป็นที่สุด
ยังจับไม่ได้มั่นคั้นไม่ตายก็ลอยหน้าไปเถอะ เชอะ! มณีนุชนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เพียงคนเดียวในห้องเตรียมเครื่องดื่ม ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องคบใครอยู่แน่ๆ เอาเถอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว คราวหน้าอย่าให้เจอจั๋งๆ นะ ฉันกัดหล่อนไม่ปล่อยแน่ มณีนุชอาฆาตมาดร้าย
เสียงน้ำเดือดบนเตาที่ตั้งไว้เตือนให้ใจที่ลอยไปในอดีตกลับมาจดจ่ออยู่กับกาน้ำตรงหน้า นางจัดแจงชงโกโก้ถ้วยใหญ่ ปิดเตาแล้วถือถ้วยโกโก้ร้อนควันกรุ่นกลับไปที่ห้อง โดยเดินไปตามระเบียงทางเดิม ตาเหลือบมองไปทางห้องพักของเสี่ยรวี ที่อยู่ตึกปีกขวาฝั่งตรงข้ามกับห้องของนางโดยมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กั้นอยู่ตรงกลาง ห้องนอนเสี่ยปิดไฟมืด แต่ที่ห้องติดกันซึ่งเป็นห้องทำงานของเสี่ยนั้นมีแสงไฟลอดออกมาจากช่องประตู
สงสัยยังคุยงานกันอยู่ มณีนุชรำพึงกับตัวเอง พวกผู้ชายนี่บ้างานกันเสียจริง จนป่านนี้ไม่รู้จักหลับจักนอน นั่งคุยหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่นั่น น่าเบื่อพิลึก
เมื่อตอนเย็น นายครรชิต สมุห์บัญชีของโรงพิมพ์ใหญ่ที่เสี่ยรวีเป็นเจ้าของ บึ่งรถจากกรุงเทพฯมาถึงคฤหาสน์ริมผาที่หัวหินนี่ เพื่อประชุมสะสางงานกับเสี่ยรวีและรวิสุตลูกชายของเขา
แม้ว่าเสี่ยรวีจะยกกิจการโรงพิมพ์ให้รวิสุตดูแลหลังจากเรียนกราฟิกดีไซน์จบมาจากต่างประเทศ และมอบหมายให้นายครรชิตลูกน้องคนเก่าคนแก่ช่วยดูเรื่องบัญชีให้ก็ตาม แต่เสี่ยรวีก็ยังไม่อาจตัดใจไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยได้ ด้วยความที่เป็นคนทำงานหนักมาตลอดชีวิตจึงไม่อาจวางมือเกษียณตัวเองได้อย่างเต็มตัวเสียที
มณีนุชคิดอยู่ในใจว่าดึกๆ อย่างนี้ พวกผู้ชายจะหิวกันไหม แต่ก็คร้านจะเดินกลับไปชงเครื่องดื่มมาให้ เพราะคิดว่าบางทีอาจจะกำลังเครียดๆ กันอยู่ก็ได้ เพราะเมื่อเย็นได้ยินเสียงเสี่ยรวีตวาดลั่น จนเสียงลอดออกมาจากห้องเลยทีเดียว คิดดูแล้วนางก็ไม่อยากโผล่เข้าไปให้เขาตะเพิดออกมาเสียเปล่าๆ
หิวก็หากินเอาเองแล้วกัน คนเยอะ... เรื่องแยะ... ฉันชักจะขี้เกียจล่ะ
มณีนุชตัดสินใจเดินกลับไปนอนอ่านนิยายที่อ่านค้างอยู่ โดยหารู้ไม่ว่าภายในห้องทำงานของเสี่ยรวีขณะนี้ มีเพียงสองชีวิตเท่านั้น ชีวิตหนึ่งใกล้ดับสิ้นนอนหายใจรวยริน วิญญาณกำลังจะปลิดปลิวออกจากร่าง ส่วนอีกชีวิตหนึ่งกำลังกลัวสุดขีด มือที่กำด้ามมีดสั้นชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง